"วัดปากเพรียว"หรือ "วัดศรีบุรีรตนาราม" ตั้งอยู่ ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นปี พ.ศ.2092 เมื่อครั้งตอนสร้างกรุงเทพ มหานคร พ.ศ.2325 มีการลำเลียงเสาตะเคียน ล่องมาตามลำน้ำป่าสัก เพื่อเอาไปสร้างเป็นเสาหลัก เมือง ได้มาพักที่หน้าวัดปากเพรียว แต่เสาไม้ตะเคียนต้นนี้คด จึงไม่ได้เอาไป ภายหลังไปจมอยู่ที่เมืองใหม่ อ.เสาไห้ จ.สระบุรี
ต่อมาได้อัญเชิญขึ้นไปเก็บไว้ที่วัดสูง อ.เสาไห้ เรียกกันว่า เสาร้องไห้แม่นางตะเคียน เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 1 ยังดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เข้าตีเวียงจันทน์ ประ เทศลาว ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต ล่องเรือมาพักที่วัดปากเพรียว สม เด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มารับที่เมืองสระบุรี มีงานฉลองสม โภชอยู่ 3 วัน แล้วนำลงเรือที่วัดไปยังกรุง ธนบุรี (พงศาวดารกรุงธนบุรี) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัดปากเพรียวในอดีต สมัยที่ พระศรีสุทัสสมุนี เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี สมัยนั้นได้มาจำพรรษาอยู่วัดปากเพรียว ได้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่ว่า "วัดศรีบุรีรตนาราม" ใช้เรียกกันมาตราบทุกวันนี้
วัดปากเพรียว ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ เมื่อสมัยหลวงพิริกิจเกษม มีการก่อสร้างมากมาย ได้ก่อสร้างเสนาสนะบูรณะซ่องแซม ปูชนียวัตถุสถานที่ต่างๆ มีการสร้างศาลาการเปรียญ สร้างถนนหนทาง รวมทั้งสร้างวิหารหลวงพ่อพุทโธ " หลวงพ่อพุทโธ" เป็นพระพุทธรูป สร้างในสมัยพระครูวัตตโสภณ (สิน) เป็นทั้งเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าอาวาสวัดปากเพรียว พ.ศ.2473 (บ้างก็ว่า สร้างในสมัย สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7)ชาวปากเพรียว ได้ขอเศียรพระพุทธรูปองค์นี้มาจากหลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) โสนันโท วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อปาน เป็นพระทรงอภิญญา ท่านสร้างเฉพาะเศียรพระ ส่วนชาวสระบุรีได้ร่วมกันสร้างองค์พระประธานขึ้นรับพระเศียร เป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวในวัดปากเพรียว
"หลวงพ่อพุทโธ" เป็นพระพุทธรูปแบบสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดปากเพรียว ข้างพระอุโบสถวัดปากเพรียว มีหน้าตักกว้าง 2 เมตร 30 เซนติเมตร สูง 3 เมตร 50 เซนติ เมตร เมื่อนำเศียรมาประกอบเข้า ด้วยกันแล้ว มีลักษณะงดงาม พระพักตร์อิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม มีเมตตา ชาวสระบุรี นิยมมากราบไหว้บนบานศาลกล่าว หลวงพ่อพุทโธ ด้วยพวงมาลัย 3 พวง หรือ 9 พวง พร้อมด้วย มะพร้าวหอมอ่อน ส่วนใหญ่จะบนด้วยพวงมาลัย 9 พวง มะพร้าว 1 ลูก อธิษฐานในใจขอในสิ่งที่เป็นไปได้จากหลวงพ่อพุทโธ ประสบผลสำเร็จไปหลายราย พ.ศ.2512 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ใน จ.สระบุรี ครั้งนั้นว่ากันว่าเป็นไฟไหม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เพลิงเผาผลาญบ้านเรือนประชาชนไปมาก แม้แต่โรง เรียนวัดปากเพรียว พร้อมวิหารหลวงพ่อพุทโธ ก็ถูกเพลิงเผาไหม้จนหมด แต่ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไฟไม่ได้ทำองค์หลวงพ่อพุทโธ เกิดความชำรุดเสียหายแต่อย่างใด วันพระหรือวันบุญวันใด เมื่อพุทธศาสนิกชนมาทำบุญที่วัดปากเพรียว หลายคนไม่ลืมที่จะแวะไปกราบไหว้รูปหล่อเหมือนพระศีลวิสุทธิดิลก สุวณณโชโต หรือที่เซียนพระรู้จักกันดี คือ หลวงพ่อหนู ที่ตั้งอยู่หน้า วิหารหลวงพ่อพุทโธ และไม่ลืมที่จะเข้าไปกราบไหว้ขอพรจาก หลวงพ่อพุทโธ วัดปากเพรียว จ.สระบุรี พระพุทธรูปปางต่างๆ
หลวงพ่อพุทโธ วัดปากเพรียว จึงเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสระบุรี สืบมา